Testosterone: The Masculine Superstar
เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มแอนโดรเจน (Androgen) ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาลักษณะทางเพศที่สองในเพศชาย รวมถึงการรักษาสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย แม้จะรู้จักกันในฐานะ “ฮอร์โมนเพศชาย” แต่แท้จริงแล้วเทสโทสเตอโรนก็ผลิตขึ้นในเพศหญิงเช่นกันในปริมาณที่น้อยกว่ามาก
สารตั้งต้นสำคัญที่ร่างกายใช้ในการสังเคราะห์เทสโทสเตอโรนคือ โคเลสเตอรอล (Cholesterol) ที่ได้รับมาจากไขมันไม่อิ่มตัว(Unsaturated Fatty Acid) ซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ต่างๆ ในร่างกาย โคเลสเตอรอลจะถูกเปลี่ยนไปเป็น Pregnenolone และ DHEA (Dehydroepiandrosterone) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นลำดับต่อไป ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นเทสโทสเตอโรนในที่สุด กระบวนการนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) เช่น Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle-Stimulating Hormone (FSH) ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของอัณฑะและรังไข่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูป (Aromatization) เป็น Estrogen หรือฮอร์โมนเพศหญิงได้หากมีมากเกินไปหรือเกิดความผิดปกติในร่างกาย
ค่าปกติของ Testosterone ในกระแสเลือด:
- ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ (อายุ 19 ปีขึ้นไป): 264-916 ng/dL
ถ้าค่าของคุณต่ำกว่านี้ อย่าเพิ่งตกใจนะครับ อาจเป็นเพราะคุณเป็น “สุภาพบุรุษจนเกินไป” ก็ได้ - ผู้ชายวัยรุ่น (อายุ 15-18 ปี): 208-1,193 ng/dL
ช่วงนี้เทสโทสเตอโรนพุ่งสูงจนบางคนอาจรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น “เวอร์ชั่นมนุษย์ของฮัลค์” - ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ (อายุ 19 ปีขึ้นไป): 15-70 ng/dL
ใช่ ผู้หญิงก็มีเทสโทสเตอโรนเหมือนกัน แต่น้อยกว่าผู้ชายมาก ไม่งั้นคงมีสาวๆ ที่มีหนวดเครารกรุงรังเต็มไปหมด - เด็กชายก่อนวัยเจริญพันธุ์ (อายุต่ำกว่า 15 ปี): 7-800 ng/dL
ช่วงนี้ค่อนข้างกว้างมาก เหมือนกับว่าร่างกายกำลัง “ลองผิดลองถูก” ว่าจะปล่อยฮอร์โมนออกมาเท่าไหร่ดี - ผู้ชายสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป): ค่าเฉลี่ยประมาณ 196-859 ng/dL
แม้จะลดลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องกลัวว่าจะกลายเป็น “คุณปู่จิตใจวัยรุ่น” นะครับ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับระดับเทสโทสเตอโรน:
- ค่าอ้างอิงเหล่านี้เป็นค่าโดยทั่วไปที่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการที่ทำการวิเคราะห์ ดังนั้น การปรึกษาแพทย์เพื่อการแปลผลที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ [1, 2].
- ระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดมักจะสูงที่สุดในช่วงเช้าและค่อยๆ ลดลงในช่วงบ่าย [3].
- หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับระดับเทสโทสเตอโรนของตนเอง เช่น มีอาการแสดงของฮอร์โมนต่ำหรือสูงผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและคำแนะนำที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยาหรือฮอร์โมนมาใช้เองโดยเด็ดขาด [4].
แนวทางการเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติ:
การรักษาระดับเทสโทสเตอโรนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างธรรมชาติเป็นวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืนที่สุด โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- การออกกำลังกาย:
- การฝึกเวทเทรนนิ่ง (Resistance Training): การฝึกที่เน้นการใช้แรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก มีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตเทสโทสเตอโรนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการฝึกกล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่และการฝึกแบบ Compound movements [5, 6].
- การออกกำลังกายแบบความเข้มข้นสูง (High-Intensity Interval Training – HIIT): มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า HIIT สามารถช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนได้เช่นกัน [7].
- โภชนาการที่เหมาะสม:
- โปรตีนเพียงพอ: การได้รับโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมช่วยส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งสัมพันธ์กับการรักษาระดับเทสโทสเตอโรน
- ไขมันดี: การบริโภคไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม เช่น กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated fats) ที่พบในอะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช และปลาทะเลน้ำลึก มีความสำคัญต่อการผลิตฮอร์โมน [8, 9]
- หลีกเลี่ยงการจำกัดแคลอรี่มากเกินไป: การจำกัดพลังงานมากเกินไปเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมน เพราะในคนอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เนื้อเยื้อไขมันหรือ Adipose Tissue จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง Testosterone ให้ไปเป็น Estrogen มากขึ้น [13]
- วิตามินและแร่ธาตุสำคัญ: วิตามิน D และ Zinc เป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์เทสโทสเตอโรน
- การพักผ่อนอย่างเพียงพอ:
ความผิดปกติเกี่ยวกับปริมาณ Testosterone
ภาวะเทสโทสเตอโรนสูงเกินไป (Hyperandrogenism):
แม้เทสโทสเตอโรนจะมีบทบาทสำคัญ แต่การมีระดับที่สูงเกินไปก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
สาเหตุที่พบบ่อย:
- โรคต่อมหมวกไตทำงานมากเกินไปแต่กำเนิด (Congenital Adrenal Hyperplasia – CAH): เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนเพศชายออกมามากเกินไป [11].
- กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS): เป็นภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลที่พบบ่อยในผู้หญิง ทำให้มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงกว่าปกติ [12].
- การใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนภายนอก (Exogenous Testosterone Use): ซึ่งรวมถึงการฉีดเทสโทสเตอโรนเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ หรือการใช้เกินขนาดที่แพทย์สั่งเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือสมรรถภาพ
อาการและผลกระทบจากภาวะเทสโทสเตอโรนสูงเกินไป:
- ผิวหนัง:
- สิวรุนแรง: การกระตุ้นของต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำให้เกิดสิวอักเสบรุนแรงได้
- ผิวมัน: ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ
- ผมและขน:
- ผมร่วงหรือศีรษะล้าน (Androgenic Alopecia): โดยเฉพาะในผู้ชายที่ไวต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของเทสโทสเตอโรน
- ขนดกผิดปกติ (Hirsutism): ในผู้หญิงอาจมีขนขึ้นตามใบหน้า หน้าอก หลัง และท้องในลักษณะที่เป็นแบบเพศชาย
- การเปลี่ยนแปลงทางเสียงและร่างกาย:
- เสียงแหบห้าว: โดยเฉพาะในผู้หญิงเนื่องจากการขยายตัวของสายเสียง
- กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว: อาจเกิดจากการใช้เทสโทสเตอโรนภายนอกในปริมาณสูง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ในระยะยาว [5].
- การเจริญเติบโตสิ้นสุดเร็วกว่าปกติ (ในเด็ก): ทำให้เด็กมีส่วนสูงที่โตเต็มที่เร็วกว่าที่ควร
- ระบบสืบพันธุ์:
- ในเพศชาย:
- อัณฑะฝ่อ (Testicular Atrophy): การได้รับเทสโทสเตอโรนจากภายนอกทำให้ร่างกายหยุดการผลิตเอง
- จำนวนอสุจิลดลงหรือเป็นหมัน: ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์
- ต่อมลูกหมากโตหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก: มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในบางราย
- ในเพศหญิง:
- ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือขาดหายไป: เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน
- รังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น: ในกรณีของ PCOS อาจพบถุงน้ำหลายใบในรังไข่
- การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ: เช่น คลิตอริสขยายใหญ่ขึ้น
- ในเพศชาย:
- ด้านจิตใจและอารมณ์:
- อารมณ์แปรปรวน: หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว หรือมีภาวะซึมเศร้า
- ความวิตกกังวล: อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสัมพันธภาพ
- ผลข้างเคียงจากการฉีด Testosterone เกินขนาด (ซึ่งมักเกิดจากการใช้โดยไม่ปรึกษาแพทย์):
- ความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
- ความดันโลหิตสูง: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ: ลดระดับ HDL (ไขมันดี) และเพิ่มระดับ LDL (ไขมันไม่ดี)
- ลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolism): เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง [4].
- ปัญหาตับ: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เทสโทสเตอโรนในรูปแบบรับประทาน
- ภาวะเม็ดเลือดแดงมากเกินไป (Polycythemia): ทำให้เลือดข้นหนืด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด [13].
- ภาวะ Gynecomastia (หน้าอกโตในเพศชาย): เนื่องจากเทสโทสเตอโรนบางส่วนอาจเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน
- การติดเชื้อและปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด: หากไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเกิดการอักเสบ บวม แดง หรือเป็นหนอง
- การหยุดผลิตฮอร์โมนเองตามธรรมชาติ: เมื่อร่างกายได้รับฮอร์โมนจากภายนอกเป็นเวลานาน จะทำให้การทำงานของต่อมใต้สมองและอัณฑะถูกยับยั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การพึ่งพาฮอร์โมนจากภายนอกในระยะยาว
- ความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
การรักษาภาวะเทสโทสเตอโรนสูงเกินไป:
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการที่พบ ได้แก่:
- การใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgens): ยาเหล่านี้จะไปยับยั้งการทำงานของเทสโทสเตอโรนที่ตัวรับ [14].
- การใช้ยาคุมกำเนิด (สำหรับ PCOS): ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS
- การรักษาตามสาเหตุ: เช่น การผ่าตัดเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตหรือรังไข่ (หากเป็นสาเหตุ)
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: เช่น การควบคุมน้ำหนักในผู้ป่วย PCOS หรือการหยุดใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากภายนอกหากมีการใช้ในทางที่ผิด
การรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระดับเทสโทสเตอโรนของตนเอง การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคือแนวทางที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
References:
- Travison TG, Vesper HW, Antonucci AB, Cook MB, Dubin JM, Eldridge JM, et al. Harmonized reference ranges for circulating testosterone levels in men of four cohort studies in the United States and Europe. J Clin Endocrinol Metab. 2017 Apr;102(4):1161-73.
- Mayo Clinic. Testosterone test [Internet]. Rochester (MN): Mayo Clinic; 2021.
- Leifke E, Gorenoi V, Wichers M, von zur Mühlen A, von Schöning R. Age-related changes of serum sex hormones, insulin-like growth factor-1 and sex-hormone binding globulin levels in men: cross-sectional data from a healthy male cohort. Clin Endocrinol (Oxf). 2000 Dec;53(6):689-95.
- Harvard Health Publishing. Testosterone – What It Does And Doesn’t Do [Internet]. Cambridge (MA): Harvard Medical School; 2019
- Schoenfeld B. Science and Development of Muscle Hypertrophy. 2nd ed. Champaign (IL): Human Kinetics; 2021.
- American Council on Exercise. ACE Personal Trainer Manual. 4th ed. San Diego (CA): American Council on Exercise; 2010.
- World Health Organization. WHO Guidelines on Physical Activity and Sedentary Behaviour [Internet]. Geneva: World Health Organization; 2020 https://www.who.int/publications/i/item/9789240015128
- Maughan RJ, Burke LM, editors. Sports Nutrition. Chichester (UK): Wiley Blackwell; 2014.
- Muth ND. Sports Nutrition for Health Professionals. Philadelphia (PA): F.A. Davis Company; 2015.
- American College of Sports Medicine. ACSM’s Resources for the Personal Trainer. 3rd ed. Philadelphia (PA): Wolters Kluwer Health/Lippincott Williams & Wilkins; 2010.
- National Institute of Health. Congenital Adrenal Hyperplasia [Internet]. Bethesda (MD): National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases
- Mayo Clinic. Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) [Internet]. Rochester (MN): Mayo Clinic
- Kelly DM, Jones TH. Testosterone and obesity. Obes Rev. 2015 Jul;16(7):581-606.
- American Academy of Dermatology Association. Spironolactone for Acne [Internet]. Rosemont (IL): American Academy of Dermatology Association