การใช้ RPE ในการฝึก Weight Training และการฟื้นฟูร่างกาย
การฝึก Weight Training เป็นวิธีที่ดีในการสร้างกล้ามเนื้อและปรับปรุงความแข็งแรงของร่างกาย อย่างไรก็ตาม การควบคุมระดับความพยายามในระหว่างการฝึกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึก RPE (Rating of Perceived Exertion) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินระดับความเหนื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการพัฒนาจากนักวิจัยชาวสวีเดนชื่อ Gunnar Borg ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยเริ่มแรกออกแบบมาเพื่อการฝึกแบบแอโรบิค แต่ต่อมาได้ถูกปรับใช้อย่างแพร่หลายในวงการ Weight Training
ประวัติและพัฒนาการของ RPE
RPE ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้นักกีฬาและผู้ฝึกสามารถประเมินความเหนื่อยของตนเองได้อย่างเป็นระบบ แทนที่จะพึ่งพาเพียงค่าตัวเลขของน้ำหนักที่ยกหรือจำนวนเซ็ตเท่านั้น หลักการนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าความเหนื่อยเป็นความรู้สึกเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
- ระดับความฟิตของร่างกาย
- สภาพร่างกายในแต่ละวัน
- การพักผ่อน
- ภาวะทางอารมณ์และความเครียด
- อาหารและการเติมพลังงาน
- อุณหภูมิและสภาพแวดล้อม
วิธีการใช้ RPE ในการฝึก Weight Training
เลือกมาตราส่วน RPE
มาตราส่วนที่ใช้งานบ่อยคือ Borg Scale ซึ่งมีช่วงคะแนนตั้งแต่ 6 ถึง 20 หรือ RPE Scale ที่ระบุออกมาเป็น 0 ถึง 10 โดยปกติจะใช้ RPE Scale ที่มีความเข้าใจง่ายสุด โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- 0: ไม่มีความเหนื่อย (เหมือนอยู่ในสภาพพัก)
- 1-2: เบามาก (แทบไม่รู้สึกเหนื่อย สามารถทำได้เป็นเวลานาน)
- 3-4: ปานกลาง (เริ่มรู้สึกเหนื่อย แต่ยังคุยได้สบาย)
- 5-6: ค่อนข้างหนัก (กล้ามเนื้อเริ่มทำงานหนัก แต่ยังไม่ถึงขีดจำกัด)
- 7-8: หนัก (ต้องใช้ความพยายามสูง กล้ามเนื้อเริ่มล้า)
- 9: หนักมาก (เกือบถึงขีดจำกัด ทำได้อีกไม่กี่ครั้ง)
- 10: แน่นอนหนักที่สุด (ถึงขีดจำกัด ไม่สามารถทำซ้ำได้อีก)
มาตราส่วน RPE เฉพาะสำหรับ Weight Training
นอกจากมาตราส่วนพื้นฐานแล้ว ยังมีมาตราส่วน RPE ที่ปรับให้เหมาะกับการยกน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งมักใช้ในกลุ่มนักกีฬา Powerlifting และ Bodybuilding:
- RPE 6: สามารถทำได้อีก 4 ครั้งก่อนถึงจุดล้มเหลว
- RPE 7: สามารถทำได้อีก 3 ครั้งก่อนถึงจุดล้มเหลว
- RPE 8: สามารถทำได้อีก 2 ครั้งก่อนถึงจุดล้มเหลว
- RPE 9: สามารถทำได้อีก 1 ครั้งก่อนถึงจุดล้มเหลว
- RPE 10: ไม่สามารถทำซ้ำได้อีก (จุดล้มเหลวหรือ Failure)
การประเมินความเหนื่อยระหว่างการฝึก
ในระหว่างหรือหลังจากการออกกำลังกาย ให้ผู้ฝึกประเมินระดับความเหนื่อยของตนเอง โดยเลือกระดับ RPE ที่ตรงกับความรู้สึก วิธีการประเมินที่มีประสิทธิภาพควรพิจารณาจาก:
- การหายใจ: อัตราการหายใจและความลำบากในการหายใจ
- อัตราการเต้นของหัวใจ: หากสามารถวัดได้ (จะสัมพันธ์กับระดับความเหนื่อย)
- ความรู้สึกของกล้ามเนื้อ: ระดับการสั่น แรงเกร็ง หรือความล้า
- ความสามารถในการพูด: ทดสอบด้วยการลองพูดประโยคสั้นๆ
- ความรู้สึกโดยรวม: การประเมินความรู้สึกทั้งหมดของร่างกาย
การบันทึกผล RPE
การบันทึกผล RPE เป็นเครื่องมือในการติดตามความก้าวหน้า และสามารถช่วยในการวางแผนการฝึกในอนาคตได้ แนะนำให้บันทึก:
- น้ำหนักที่ใช้ในแต่ละท่า
- จำนวนเซ็ตและเรพ
- ค่า RPE ในแต่ละเซ็ต
- หมายเหตุเกี่ยวกับความรู้สึกเฉพาะและปัญหาที่พบ
ตัวอย่างตารางบันทึก:
วันที่ | ท่า | น้ำหนัก (กก.) | เซ็ต | เรพ | RPE | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|
15 มีนาคม 2568 | Squat | 80 | 1 | 8 | 6 | รู้สึกสดชื่น ยังไม่เหนื่อย |
15 มีนาคม 2568 | Squat | 80 | 2 | 8 | 7 | เริ่มรู้สึกเหนื่อย |
15 มีนาคม 2568 | Squat | 80 | 3 | 8 | 8 | กล้ามเนื้อล้า |
ประโยชน์ของการใช้ RPE ในการฝึก Weight Training
การควบคุมความหนัก
RPE ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถปรับระดับความหนักได้เองตามความสามารถและสภาพร่างกายในขณะนั้น ซึ่งทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ:
- ความยืดหยุ่น: สามารถปรับน้ำหนักตามสภาพร่างกายแต่ละวันได้ แม้อยู่ในโปรแกรมเดียวกัน
- การเข้าใจร่างกายตนเอง: เรียนรู้ว่าร่างกายตอบสนองต่อความหนักระดับต่างๆ อย่างไร
- การปรับตามพัฒนาการ: ความหนักสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้โดยอัตโนมัติตามความก้าวหน้า
- การฝึกแบบเฉพาะเจาะจง: ช่วยให้ระบุได้ว่าควรฝึกที่ RPE เท่าไรเพื่อเป้าหมายต่างๆ เช่น การเพิ่มพลัง (RPE 7-8) หรือการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อ (RPE 8-9)
การป้องกันการบาดเจ็บ
การใช้ RPE ในการฝึกสามารถช่วยให้ผู้ฝึกหลีกเลี่ยงการฝึกที่หนักเกินไป โดยการสังเกตความเหนื่อยและทำการปรับให้เหมาะสม เนื่องจาก:
- การระบุสัญญาณเตือน: สามารถรู้ได้เร็วเมื่อร่างกายเริ่มล้าเกินไป
- การหลีกเลี่ยง Overtraining: ช่วยให้มองเห็นได้ว่าเมื่อไรควรลดความหนักหรือเพิ่มการพักฟื้น
- การรักษาฟอร์มที่ถูกต้อง: ช่วยให้ไม่ฝืนยกน้ำหนักมากเกินไปจนทำให้ฟอร์มผิด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บ
- การเคารพขีดจำกัดร่างกาย: ช่วยให้รู้จักรับฟังสัญญาณจากร่างกายแทนที่จะยึดติดกับตัวเลขน้ำหนักเพียงอย่างเดียว
การฟื้นฟูร่างกาย
RPE เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อผู้ฝึกรู้สึกเหนื่อยหรือไม่พร้อม การใช้ RPE ช่วยในการวางแผนการพักผ่อนหรือการฟื้นฟูเพื่อให้กล้ามเนื้อกลับมาสดชื่น โดย:
- การวางแผน Deload: สามารถกำหนดช่วงลดความหนักโดยใช้ค่า RPE ต่ำลง (เช่น 6-7) แทนที่จะลดน้ำหนักเป็นเปอร์เซ็นต์แบบตายตัว
- Active Recovery: การใช้ RPE ต่ำ (3-4) ในวันฟื้นฟูช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดโดยไม่เพิ่มความเครียดให้กล้ามเนื้อ
- การกลับมาหลังการบาดเจ็บ: ช่วยให้ค่อยๆ เพิ่มความหนักได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องรีบเร่งกลับไปยกน้ำหนักหนักเหมือนก่อนบาดเจ็บ
- การประเมินการฟื้นตัว: เมื่อน้ำหนักเดิมรู้สึกเบากว่า (RPE ต่ำลง) แสดงว่าร่างกายฟื้นตัวได้ดี
การสร้างความตระหนักรู้ (Self Recognition)
การใช้ RPE ทำให้ผู้ฝึกมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเหนื่อยของร่างกาย และสามารถจัดการกับความยากลำบากในการฝึกได้ดีขึ้น โดย:
- การเชื่อมโยงร่างกายและจิตใจ: เรียนรู้การรับรู้สัญญาณจากร่างกายได้แม่นยำขึ้น
- การพัฒนา Mental Toughness: เรียนรู้ว่าตนเองสามารถทนต่อความเหนื่อยระดับต่างๆ ได้อย่างไร
- การเข้าใจ Perceived vs Actual Effort: บางครั้งเรารู้สึกเหนื่อยมากกว่าที่ร่างกายเหนื่อยจริง การใช้ RPE ช่วยให้แยกแยะระหว่างความรู้สึกกับความเป็นจริงได้
- การสร้างนิสัยการฟังร่างกาย: ฝึกให้เป็นผู้ฝึกที่ฉลาดขึ้นโดยไม่ยึดติดกับตัวเลขหรือความคาดหวังมากเกินไป
การประยุกต์ใช้ RPE ในโปรแกรมฝึก
เทคนิคการวางแผนโปรแกรมด้วย RPE
การออกแบบโปรแกรมฝึกโดยใช้ RPE สามารถทำได้หลายรูปแบบ:
แบบ Linear Progression
สัปดาห์ | ท่าหลัก (RPE) | จำนวนเซ็ต/เรพ | ท่ารอง (RPE) | Set x Reps |
---|---|---|---|---|
1 | 7 | 3×8 | 6 | 3×10 |
2 | 7.5 | 3×8 | 6.5 | 3×10 |
3 | 8 | 3×6 | 7 | 3×8 |
4 | 6 (Deload) | 3×6 | 5 | 3×8 |
แบบ Undulating Periodization
วัน | ท่า | RPE | Sets × Reps | ความมุ่งเน้น |
---|---|---|---|---|
จันทร์ | Squat | 8 | 5×5 | Power |
พุธ | Squat | 6-7 | 3×8 | Technique |
ศุกร์ | Squat | 9 | 3×3 | Maximum Strength |
RPE สำหรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
การใช้ RPE ควรปรับให้เหมาะกับระดับประสบการณ์:
- มือใหม่: ควรฝึกที่ RPE 5-7 เพื่อเรียนรู้เทคนิคและสร้างพื้นฐาน
- ระดับกลาง: สามารถฝึกที่ RPE 7-8 เพื่อกระตุ้นการพัฒนา
- ระดับสูง: สามารถฝึกถึง RPE 9 บ่อยครั้งขึ้น และอาจไปถึง RPE 10 ในบางเซ็ต
- นักกีฬา: มักใช้ RPE หลากหลายขึ้นอยู่กับช่วงการเตรียมตัว (7-8 ในช่วงเตรียมพร้อม, 8-9 ในช่วงแข่งขัน)
การใช้ RPE กับเทคนิคการฝึกพิเศษ
RPE สามารถประยุกต์ใช้กับเทคนิคการฝึกขั้นสูงได้ เช่น:
- Drop Sets: เริ่มที่ RPE 9 แล้วลดน้ำหนักลงทำต่อจนถึง RPE 10
- Super Sets: กำหนด RPE รวมของชุดท่าที่ทำติดกัน (เช่น 8-9)
- Rest-Pause: ทำซ้ำๆ จนถึง RPE 9.5-10 พักสั้น แล้วทำต่อ
- Tempo Training: การทำช้าๆ จะทำให้ RPE สูงขึ้นแม้ใช้น้ำหนักเท่าเดิม
*เหมาะสำหรับมือโปรแล้วเท่านั้น มือใหม่ห้ามใช้
ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ RPE
แม้ RPE จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบ:
- ความแม่นยำต้องใช้เวลาฝึกฝน: ผู้เริ่มต้นมักประเมิน RPE ไม่แม่นยำ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้
- อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก: การนอนไม่พอ, ความเครียด, โภชนาการ อาจทำให้ RPE แปรปรวน
- ความแตกต่างระหว่างบุคคล: RPE 8 ของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน จึงไม่ควรเปรียบเทียบกัน
- อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ขาดประสบการณ์: ผู้ที่ไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองอาจประเมิน RPE ต่ำเกินไป
- ต้องใช้ควบคู่กับการวัดผลอื่นๆ: RPE ไม่ควรเป็นตัวชี้วัดเดียว ควรใช้ร่วมกับการติดตามน้ำหนัก, จำนวนเรพ และความก้าวหน้าอื่นๆ
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ RPE
งานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงถึงประสิทธิภาพของ RPE ในการฝึก Weight Training:
- Zourdos et al. (2016) พบว่า นักกีฬาที่มีประสบการณ์สามารถประเมิน RPE ได้แม่นยำมากกว่าเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำซ้ำจริง
- Helms et al. (2018) พบว่า การฝึกด้วย RPE ให้ผลลัพธ์ในการพัฒนาความแข็งแรงไม่แตกต่างจากโปรแกรมที่กำหนดเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักยกสูงสุด (1RM)
- Ormsbee et al. (2019) แสดงให้เห็นว่า RPE มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ระดับแลคเตทในเลือดและการเผาผลาญพลังงาน
- Hackett et al. (2017) พบว่า RPE มีความสัมพันธ์กับจำนวนครั้งที่ทำได้จริงในท่า Bench Press และ Squat
การใช้ RPE เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการฝึก Weight Training และการฟื้นฟูร่างกาย ช่วยให้ผู้ฝึกควบคุมระดับความหนัก การป้องกันการบาดเจ็บ และปรับเปลี่ยนแผนการฝึกได้อย่างเหมาะสม การใช้ RPE ยังส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเหนื่อยของร่างกายซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการฝึกโดยรวม
การนำ RPE ไปใช้ต้องอาศัยความเข้าใจและประสบการณ์ แต่เมื่อใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยขึ้น และที่สำคัญ – ทำให้ผู้ฝึกเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการพัฒนาทางกายในระยะยาว
Reference
- Borg, G. A. V. (1982). “Psychophysical bases of perceived exertion”. Medicine and Science in Sports and Exercise, 14(5), 377-381.
- Chen, M. H., & Wong, S. H. (2020). “Rating of Perceived Exertion in Resistance Training: A Review”. International Journal of Sports Physiology and Performance, 15(9), 1287-1293.
- Helms, E. R., Cronin, J., Storey, A., & Zourdos, M. C. (2016). “Application of the Repetitions in Reserve-Based Rating of Perceived Exertion Scale for Resistance Training”. Strength and Conditioning Journal, 38(4), 42-49.
- Zourdos, M. C., Klemp, A., Dolan, C., Quiles, J. M., Schau, K. A., Jo, E., … & Blanco, R. (2016). “Novel resistance training–specific rating of perceived exertion scale measuring repetitions in reserve”. The Journal of Strength & Conditioning Research, 30(1), 267-275.
- Hackett, D. A., Johnson, N. A., Halaki, M., & Chow, C. M. (2017). “A novel scale to assess resistance-exercise effort”. Journal of Sports Sciences, 35(8), 734-739.
- Ormsbee, M. J., Carzoli, J. P., Klemp, A., Allman, B. R., Zourdos, M. C., Kim, J. S., & Panton, L. B. (2019). “Efficacy of the repetitions in reserve-based rating of perceived exertion for the bench press in experienced and novice benchers”. The Journal of Strength & Conditioning Research, 33(2), 337-345.