การออกกำลังกายในวัยเด็ก จำเป็นแค่ไหน? ควรออกอย่างไร?

 

การออกกำลังกายมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะในด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกาย สังคม และจิตใจ การเตรียมความพร้อมให้เด็กมีสุขภาพดีผ่านกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ปกครองและผู้ดูแลทุกคน

 

ผลดีของการออกกำลังกายในวัยเด็กต่อพัฒนาการ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในวัยเด็กส่งผลดีในหลายมิติ ดังนี้:

  1. การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางกายภาพ:
    • กระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone (GH): การออกกำลังกายโดยเฉพาะกิจกรรมที่มีความเข้มข้นปานกลางถึงสูง ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการสร้างกระดูกส่วนยาว (Long bones) ทำให้สามารถเพิ่มความสูงได้เฉลี่ย 5-8 เซนติเมตรต่อปี [2]
    • เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก: กิจกรรมที่มีแรงกระแทกหรือลงน้ำหนัก (Weight-bearing activities) ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่ ทำให้กระดูกแข็งแรงและหนาแน่นขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมวลกระดูกสูงสุด (Peak Bone Mass) ในอนาคต [4]
    • พัฒนาความแข็งแรงและสมดุลของกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มพลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงพัฒนาสมดุลและการประสานงานของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเคลื่อนไหวและการพัฒนาร่างกายที่สมบูรณ์ [3, 5] งานวิจัยที่สำรวจนักเรียนชายในประเทศต่างๆ เช่น แคนาดา เบลเยียม โปแลนด์ และเช็ก พบว่ากลุ่มที่มีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกสูง (เฉลี่ยมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) มีแนวโน้มที่จะมีความสูงและพัฒนาการทางกายภาพดีกว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายน้อยกว่า [2]
    • การรักษาน้ำหนักที่สุขภาพดี: การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักและป้องกันภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กได้ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน [1]
  2. พัฒนาทักษะทางสังคมและสุขภาพจิต:
    • ส่งเสริมทักษะทางสังคม: การเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ช่วยพัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกัน การสื่อสาร การแก้ไขปัญหา และการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
    • เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง: การที่เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะทางกายภาพ รวมถึงการประสบความสำเร็จในกิจกรรมต่างๆ ช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองและความเชื่อมั่น [1]
    • ลดภาวะซึมเศร้าและความเครียด: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีในการระบายความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยปรับปรุงอารมณ์และลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่น [1]

 

คำแนะนำสำหรับการออกกำลังกายในเด็ก

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรด้านสุขภาพต่างๆ ได้ให้แนวทางปฏิบัติสำหรับการออกกำลังกายในเด็กและวัยรุ่น (อายุ 5-17 ปี) ดังนี้ [1, 8, 9]:

  • ปริมาณกิจกรรม: ควรมีกิจกรรมที่เคลื่อนไหวและออกแรงในระดับปานกลางถึงหนัก เฉลี่ยอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน ตลอดทั้งสัปดาห์
  • ความหลากหลายของกิจกรรม: กิจกรรมส่วนใหญ่ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และควรรวมกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
  • Warm-up และ Cool-down: แนะนำให้มีการ Warm-up หรือออกกำลังกายที่มีความหนักเบา ก่อนที่จะเพิ่มระดับความหนักขึ้นไป และ Cool-down หลังจากการออกกำลังกาย เพื่อเตรียมร่างกายและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ [3]
  • การใช้อุปกรณ์หลากหลาย: ควรใช้หลากหลายอุปกรณ์สำหรับการเล่นสนุก หรือเข้าร่วมกีฬาที่แตกต่างกัน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวที่หลากหลายและครบถ้วน

ตัวอย่างโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต

โปรแกรมนี้เน้นการพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบหัวใจและหลอดเลือด [3-5]

  1. Warm-up (5-10 นาที):
    • หลักการ: เตรียมร่างกายให้พร้อม ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เพิ่มอุณหภูมิกล้ามเนื้อและการไหลเวียนโลหิต [3]
    • ตัวอย่างกิจกรรม:
      • เดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะๆ เบาๆ
      • การเคลื่อนไหวข้อต่อ (Joint Rotations) เช่น หมุนไหล่ หมุนแขน หมุนสะโพก หมุนข้อเท้า
      • Dynamic Stretching (การยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหว) เช่น Arm Circles, Leg Swings, Torso Twists
  2. Main Training (40-50 นาที):
    • หลักการ: เน้นกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ พร้อมพัฒนาสมรรถภาพโดยรวม [3-5]
    • 2.1 กิจกรรมเสริมสร้างกระดูก (Bone-Strengthening Activities):
      • หลักการ: กิจกรรมที่มีแรงกระแทกหรือลงน้ำหนักกับกระดูกจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่ เพิ่มความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงวัยเจริญเติบโต [4]
      • ความถี่: อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
      • ตัวอย่างกิจกรรม:
        • กระโดด (Jumping): กระโดดเชือก, กระโดดตบ (Jumping Jacks), กระโดดสองขา, กระโดดขาเดียว
        • วิ่ง (Running): วิ่งเล่น, วิ่งซิกแซก
        • กีฬาที่ต้องมีการกระแทก/ลงน้ำหนัก: บาสเกตบอล, ฟุตบอล, วอลเลย์บอล, เทนนิส, เต้นรำ
    • 2.2 กิจกรรมเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Muscle-Strengthening Activities):
      • หลักการ: การฝึกความแข็งแรง (Resistance Training) ที่เหมาะสมกับวัยและอยู่ภายใต้การดูแลที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง รวมถึงเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก โดยไม่เป็นอันตรายต่อแผ่นการเจริญเติบโตของเด็ก [3, 5]
      • ความถี่: อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
      • ตัวอย่างท่า (เน้น Bodyweight หรือน้ำหนักเบา/ยางยืด):
        • ท่าพื้นฐาน:
          • Squats (สควอท): เริ่มจาก Bodyweight Squats เน้นท่าที่ถูกต้อง หลังตรง ก้นไปด้านหลัง เข่าไม่เลยปลายเท้า (2-3 เซ็ต, 8-15 ครั้ง)
          • Push-ups (วิดพื้น): เริ่มจาก Knee Push-ups หรือ Wall Push-ups แล้วค่อยๆ พัฒนาไป Standard Push-ups (2-3 เซ็ต, 8-15 ครั้ง)
          • Lunges (ลันจ์): เดินลันจ์ หรือ Static Lunges (2-3 เซ็ต, ข้างละ 8-12 ครั้ง)
          • Plank (แพลงก์): ท่าแพลงก์ปกติ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง (ค้างไว้ 20-45 วินาที, 2-3 เซ็ต)
          • Superman: นอนคว่ำ ยกแขนและขาขึ้นพร้อมกัน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง (2-3 เซ็ต, 10-15 ครั้ง)
        • การใช้ยางยืด: สำหรับท่าสร้างแรงต้านเบาๆ เช่น Elastic-band Rows, Band Overhead Press
        • การใช้เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น: โหนบาร์, ปีนป่าย (ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแขน หลัง และแกนกลาง)
    • 2.3 กิจกรรมแอโรบิก (Aerobic Activities):
      • หลักการ: เสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความทนทาน และช่วยควบคุมน้ำหนัก [1]
      • ความถี่: ทุกวัน (รวมใน 60 นาทีเฉลี่ยต่อวัน)
      • ตัวอย่างกิจกรรม: วิ่งเล่นอิสระ, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้น, เล่นกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวต่อเนื่อง (เช่น ฟุตบอล, บาสเกตบอล, แบดมินตัน)
  3. Cool Down (5-10 นาที):
    • หลักการ: ปรับอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจให้กลับสู่ภาวะปกติ คลายกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดเมื่อย [3]
    • ตัวอย่างท่า: เดินช้าๆ หรือยืดเหยียดแบบค้างไว้ (Static Stretching) เช่น ยืดกล้ามเนื้อขา (Hamstrings, Quadriceps), หน้าอก, ไหล่ (ค้างไว้ 20-30 วินาทีต่อท่า)

แผนการเพิ่มความท้าทาย (Progression Plan): ควรมีการประเมินและปรับแผนทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น เพิ่มจำนวนครั้ง/เซ็ต, เพิ่มความยากของท่า (จาก Knee Push-ups เป็น Standard Push-ups), เพิ่มระยะเวลา/ความเข้มข้นของกิจกรรม หรือแนะนำกิจกรรมใหม่ๆ [3]

ตัวอย่างโปรแกรมการออกกำลังกาย 1 สัปดาห์ สำหรับเด็กและวัยรุ่น

โปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสนุกสนาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความสนใจและความพร้อมของเด็ก โดยมีเป้าหมายให้มีการออกกำลังกายรวมกันอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน ในแต่ละวันจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ Warm-up, Main Training และ Cool Down

คำแนะนำทั่วไป:

  • ให้เด็กดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและรองเท้าที่เหมาะสม
  • หากเด็กมีอาการไม่สบายหรือบาดเจ็บ ควรงดกิจกรรมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  • ผู้ใหญ่ควรดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในการทำท่าเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

 

คำแนะนำโภชนาการที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย

โภชนาการเป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายพัฒนาได้อย่างเต็มที่ [6, 7]

  1. เด็กวัยก่อนเรียน (อายุ 1-5 ปี):
    • ความต้องการพลังงาน: ยังไม่สูงมาก แต่เน้นสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและร่างกายอย่างรวดเร็ว
    • สารอาหารสำคัญ: โปรตีน (เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว), แคลเซียม และวิตามิน D (นม โยเกิร์ต ชีส ปลาเล็กปลาน้อย), ธาตุเหล็ก (เนื้อแดง ตับ), คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง ธัญพืช), ไขมันดี (อะโวคาโด น้ำมันมะกอก)
    • คำแนะนำ: เน้นความหลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป/น้ำตาลสูง จัดมื้ออาหารหลัก 3 มื้อ และของว่าง 2-3 มื้อ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
  2. เด็กวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี):
    • ความต้องการพลังงาน: เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น เป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
    • สารอาหารสำคัญ: โปรตีนเพิ่มขึ้น, แคลเซียมและวิตามิน D ยังคงมีความสำคัญสูงมากสำหรับการสร้างมวลกระดูกสูงสุด, คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นแหล่งพลังงานหลัก, วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ จากผักผลไม้หลากสี
    • คำแนะนำ: ให้ความรู้เรื่องโภชนาการแก่เด็ก จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มหวานจัด ขนมขบเคี้ยว จัดเตรียมอาหารกลางวันที่ครบถ้วนและมีประโยชน์
  3. วัยรุ่น (อายุ 13-17 ปี):
    • ความต้องการพลังงาน: สูงที่สุดในทุกช่วงวัย เนื่องจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งความสูง มวลกล้ามเนื้อ และพัฒนาการทางเพศ
    • สารอาหารสำคัญ: โปรตีนสูงมาก (แนะนำ 1.2-1.7 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน หากออกกำลังกายหนัก), แคลเซียมและวิตามิน D ยังคงสำคัญมากสำหรับการสร้างมวลกระดูกสูงสุด, ธาตุเหล็ก (โดยเฉพาะในวัยรุ่นหญิง), คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเพียงพอสำหรับพลังงาน, ไขมันดีสำหรับฮอร์โมนและการดูดซึมวิตามิน
    • คำแนะนำ: เน้นความหลากหลายและสัดส่วนที่เหมาะสม ส่งเสริมการทำอาหารทานเอง หากมีการออกกำลังกายหนัก ควรทานอาหารว่างก่อนและหลังออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและฟื้นตัว

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายของเด็ก

แม้การออกกำลังกายจะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีข้อควรระวังเพื่อให้เด็กออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย [3]:

  • ภาวะตัวร้อนเกิน (Overheat): เด็กมีความสามารถในการระบายความร้อนที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากมีผิวหนังที่เล็กกว่าและผลิตเหงื่อได้น้อยกว่า ผู้ปกครองควรระมัดระวังถึงภาวะตัวร้อนเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนหรือมีความชื้นสูง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการชักได้หากออกกำลังกายหนักเกินไป ควรให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  • การขาดน้ำ (Dehydration): ควรให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย การขาดน้ำอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงและเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ
  • การบาดเจ็บ: สอนให้เด็กมีทักษะในการป้องกันการบาดเจ็บ เช่น การรักษาท่าทางที่ถูกต้องในการทำกิจกรรมและใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการและจำกัดการฝึกที่ใช้แรงกระแทกสูง หรือการยกน้ำหนักที่มากเกินไป

 

สรุป

การส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยในด้านร่างกาย เช่น การกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ การรักษาน้ำหนักที่สุขภาพดี และการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย แต่ยังมีผลดีอย่างยิ่งในด้านสังคมและจิตใจ การที่เด็กมีสุขภาพที่ดีในวัยเด็กจะเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการในอนาคตของเด็กได้อย่างมหาศาล ดังนั้น การสนับสนุนให้เด็กมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมและได้รับโภชนาการที่ครบถ้วนจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญ

 

สำหรับใครที่สนใจให้สอนออกกำลังกายทักมาสอบถามได้นะครับ

References

  1. World Health Organization. WHO guidelines on physical activity and sedentary behaviour. Geneva: World Health Organization; 2020.
  2. Strong WB, Malina RM, Blimkie CJ, et al. Evidence based physical activity for school-aged youth. J Pediatr. 2005;146(6):732-7.
  3. American Council on Exercise. ACE personal trainer manual: the ultimate resource for fitness professionals. 4th ed. San Diego, CA: American Council on Exercise; 2010.
  4. Maughan RJ, editor. Sports nutrition. Hoboken, NJ: Wiley Blackwell; 2014.
  5. American College of Sports Medicine. ACSM’s resources for the personal trainer. 3rd ed. Philadelphia: Wolters Kluwer Lippincott Williams & Wilkins; 2010.
  6. Muth ND. Sports nutrition for health professionals: foundations of ACE exercise science. Philadelphia: F.A. Davis Company; 2015.
  7. Schoenfeld B. Science and development of muscle hypertrophy. 2nd ed. Champaign, IL: Human Kinetics; 2021.
  8. American Academy of Pediatrics Council on Sports Medicine and Fitness. Physical activity in children and adolescents. Pediatrics. 2006;117(4):1006-1020.
  9. World Health Organization. Physical activity and young people. Geneva: World Health Organization.

About the Author

Thanet K.

Founder & Editor

Certified ACE Personal Trainer B.Sc. in Medical Technology, Chiang Mai University I specialize in providing expert guidance on fitness training, nutrition, and healthy lifestyle habits. My goal is to help clients achieve their optimal health and wellness.

View All Articles