ทุกวันนี้ กูรู้ (Guru) ที่อ้างว่าเชี่ยวชาญ รู้ดจีย์ยยยยเรื่องสุขภาพ ว่อนเต็มอินเตอร์เนตไปหมด
คาร์บ (คาร์โบไฮเดรต) เป็นตัวการทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้น ห้ามกิน ไม่งั้นจะเป็นเบาหวาน
อาหารแปรรูปจัดเป็นอาหารที่เลว สารอาหารน้อย ไม่ควรกิน
น้ำตาล กินแล้วผิวเหี่ยวย่น แก่เร็ว
ขนมนมเนยพวกนี้ไขมันสูง กินแล้วถึงเป็นโรคหัวใจ
อยากสุขภาพดี อายุยืน ต้องหัด Fasting
อะไรอีกล่ะ ที่เคยได้ยินมา ? เกี่ยวกับเรื่องของข้อปฏิบัติเพื่อสุขภาพ จากการ “เปลี่ยน” พฤติกรรมการกินอาหาร ลองแชร์ให้ฟังกันได้ครับ ^^
ปัจจุบันนี้ ทุกคนก็ยอมรับว่า information หรือข้อมูลว่อนร่อนเต็มไปหมด แต่อะไรจริงไม่จริงเนี่ย… ก็อีกเรื่อง
จากเมื่อก่อนความรู้ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เรากว่าจะได้มาเนี่ย ต้องผ่านการอ่าน กลั่นกรอง ตีพิมพ์ พิสูจน์ เผยแพร่
ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือเรียนต่าง ๆ รวมไปถึงความรู้ที่แนะนำให้ปฏิบัติ แล้วเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง” ไม่ก่อให้เกิดปัญหา (เน้นที่เรื่องข้อมูลเรื่องสุขภาพ)
แต่ด้วยการเปลี่ยนผ่านของยุคที่ผ่านตาของผู้เขียนมา เราก็จะเห็นได้ว่า ยุคนี้ สมัยนี้ ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเข้าถึงกันได้ “ง่ายขึ้นมาก” แค่มี Smartphone และ Internet เท่านั้นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ “นักวิชาการ” ก็ออกมาเตือนกันอยู่บ่อย ๆ และเน้นให้มีอยู่ด้วยคือ Media literacy รวมถึง Health literacy ว่าให้ง่ายคือ
“วิจารณญาณในการเสพและนำเข้าข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ เข้าสู่สมองอันล้ำค่าของเรา” และ “ความรู้ตระหนักในการดูแลรักษาด้านสุขภาพ” ซึ่งดูเหมือนจะแยกออกจากกันยาก และกลายมาเป็นปัญหาใหญ่
อย่างที่พูดว่าการเข้าถึงข้อมูลมันง่ายขึ้นมาก สิ่งนี้ยังลามไปถึง “ใครก็สามารถกลายมาเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลได้” จากที่สมัยก่อน แทบจะมีแค่หยิบมือหนึ่ง
นักวิชาการ “ตัวจริง” น้อยคนนักที่จะออกมาอยู่หน้าไฟ Spotlight แล้วให้ข้อมูลในที่กว้าง ข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ เหมือนจะจำกัดอยู่แค่วิชาชีพทางการแพทย์ และให้กับผู้ป่วยเท่านั้น ซึ่งจัดว่าเป็นวงแคบ
การสกัดและสร้างคนที่ให้ข้อมูลที่เหมาะสม ถูกต้องได้นั้น กลายเป็นข้อจำกัดทำให้คนได้รับข้อมูลที่แม้จะถูกต้อง แต่ก็ไม่จำนวนประชากรนับล้านที่เกิดขึ้น
วันนี้ เรามาคุยกันเรื่อง “ข้อมูลและความเชื่อผิด ๆ ที่เกี่ยวกับโภชนาการ” กันดีกว่าครับ
กลุ่มคนที่ต่อต้านน้ำตาลและอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
จัดให้เป็นกลุ่มแรกที่จะพูดถึงเลย เพราะมาแรงมาก และแทบจะฝังรากลึกลงไปในหมู่ผู้คนที่สนใจเรื่องสุขภาพเลย
จากการค้นพบว่า “การตัดคาร์บ” ออกจากแผนการรับประทานอาหารประจำวันนั้น ดูเหมือนจะส่งผลในแง่ “ลดน้ำหนัก” ได้ดี ซึ่งภาวะน้ำหนักเกินกลายมาเป็นปัญหาตัวใหญ่ของคนยุคปัจจุบัน
แต่จากการดูแลสุขภาพ เหมือนจะลามไปถึงการให้คุณค่าแก่คนลดน้ำหนักสำเร็จว่า เป็นเหมือนดั่งฮีโร่ ที่จะพูดจะทำอะไร ก็ดูน่าสนใจ น่าจับตามองไปเสียหมด
จนไม่ได้นึกถึงข้อเท็จจริงว่า คนเหล่านั้นเป็นเพียง “ผู้รอดชีวิต” เฉยๆ หรือเปล่า
ในหลักการทาง “อคติที่มีผลต่อการตัดสินใจ” หรือ Social bias นั้น มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือ Survivorship bias
Survivorship bias หมายถึง คนที่(ดัน)รอดมา กลายเป็นคนพูดเสียงดัง และอ้างว่า สิ่งที่ตนทำนั้น มันคือเส้นทางแห่งความสำเร็จ ใครก็ทำตามมาได้
อาจจะฟังดู “แล้วยังไง” เดี๋ยวจะอธิบายตอนนี้ล่ะครับ
ลองคิดถึงคนสัก… 100 คน ที่อ้วน และพยายามลดน้ำหนักตัวด้วยวิธีการ Low car…. ไม่สิ เอาเป็นตัวอย่างที่แรง ๆ หน่อยดีกว่า คุณมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก เป็นไง ?
คุณมาร์ค คือตัวอย่างของ Survivorship bias ในสาขา “คนเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย” ที่ดีเลย เพราะเขาประสบความสำเร็จอย่างรุนแรงมากกกก
สร้างระบบ Facebook ขึ้น และพวกเราเกือบทุกคนต่างก็มีบัญชี FB สร้างมูลค่ามหาศาลที่เปลี่ยนให้คนคนนึงที่เรียนไม่จบด้วยซ้ำ กลายเป็นมหาเศรษฐีที่น่ายกย่องได้
แต่ถ้าลองมองให้รอบมุม คนที่เรียกมหาวิทยาลัยไม่จบ “กี่คน” ครบบนโลกใบนี้ ที่สามารถกลายเป็นอย่างมาร์คได้ ? กลายเป็นเศรษฐีได้
แล้วก่อนที่จะเอาข้อเท็จจริงส่วนนี้ ไป imply ว่า “งั้นเรามาลาออกกันเถอะ ไม่ต้องเรียนให้จบ เราก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นคนรวยล้นฟ้าได้”
มาดูความเป็นจริงของสมัยนี้กันครับว่า ขนาดเรียนจบได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ยังไม่สามารถเป็นเครื่องการันตีว่าจะได้ทำงานดี ๆ ได้เงินเดือนสูง ๆ ได้เลย
แล้วนับประสาอะไร กับการที่ไม่มีกระทั่งวุฒิปริญญาตรีด้วยซ้ำล่ะครับ…
เหมือนจะเริ่มห่างไกลออกไป ทีนี้ มาดูตัวอย่างที่ใกล้ตัวกันขึ้นหน่อยครับ
คนอ้วน 100 คน ที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วยวิธี Low carb แล้วกัน
คิดว่า จาก 100 คนนี้ มาพยายาม “ตัด” ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนม และแหล่งให้คาร์โบไฮเดรตต่าง ๆ ออกจากชีวิต (จากที่เมื่อก่อนอาจจะกินปกติ กินเยอะเกิน หรืออะไรก็แล้วแต่)
แล้วจะทำได้ นานแค่ไหน ? ทำได้ดีแค่ไหน (หมายถึง ตัดจริงๆ ไม่มาแอบกินในที่ลับ แล้วมาบอกในที่แจ้งว่าไม่ได้กิน) ?
และนี่ยังไม่นับว่า ฝืนใจทำได้ 1-2 เดือน พอน้ำหนักตัวลดได้ตามตั้งใจ แล้วกลับมา “กินคาร์บล้างผลาญ” เพื่อชดเชยห้วงเวลาที่หายไป 2 เดือนที่งดคาร์บ
แล้วจาก 100 คน มีคนที่ลดด้วยวิธีนี้สำเร็จ เหลือแค่ 1-2 คน (มีงานวิจัยที่ค้นพบครับ เกี่ยวกับตัวเลขของผู้ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักและรักษาสภาพหลังลดเอาไว้ได้อย่างน้อย 2 ปี)
แล้ว 1-2 คน ที่ว่านั้น ออกมาป่าวประกาศว่า Low carb สิดี ทำตัวเป็นไอดอลด้านสุขภาพ (โดยเราไม่มอง 98 คนที่เหลือที่ทนทุกข์ทรมานหรือพังพินาศจากการตัดคาร์บออกจากชีวิต ซึ่งเป็นการเลือกวิธีที่ผิดกับตัวเอง)
นี่ล่ะครับ Survivorship bias ที่อยากจะพูดถึง
แล้ว… มันเกี่ยวอะไรกับ Low carb ?
ด้วยความรู้ทางการแพทย์ แขนงโภชนาการเนี่ย การ Low carbohydrate ก็จัดเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการลดน้ำหนักได้ รวมถึงอาจช่วยให้การควบคุมน้ำตาลในผู้เป็นเบาหวานได้อีกด้วย
แต่ควรกระทำด้วยความเข้าใจ << ความเข้าใจที่ว่าเนี่ย คือ ทั้งหลักการ และ ความเข้าใจในตัวเอง ด้วยว่า ตนเองเหมาะสมกับวิธีนี้หรือไม่ ? ทำแล้ว จะทำได้ยาว ๆ นาน ๆ หรือไม่
และควรรู้ด้วยกระทั่งผลเสียที่ตามมาได้ จากการทำ low carb ดังกล่าว เพราะในความเป็นจริง เราไม่ได้มีแค่วิธีเดียวในการลดน้ำหนัก
เราต้องเข้าใจข้อเท็จจริงก่อนว่า ปัญหาทางสุขภาพอันเนื่องมาจากคาร์บในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะ Excessive carbohydrate intake หรือ ได้รับมากเกินไปต่างหาก
เชื่อหรือไม่ว่า ร้อยละ 90 ที่เข้าใจปัญหาตรงนี้ แล้ว Balance ตัวเองกลับมากินคาร์บให้พอดีกับความต้องการของร่างกายต่อวัน (โดยไม่ต้องไปฝืนตัดคาร์บซะเหี้ยน) ก็น้ำหนักลดลงมาแล้ว
มิหนำซ้ำ น้ำหนักที่ลดลงมาได้นั้น จะยังคงอยู่กับตัวต่อไปในระยะยาวได้อีกด้วย นอกจากนั้น การตัดคาร์บออกไปนั้น กระทบต่อจิตใจ รวมถึงพฤติกรรมการกินในระยะยาวได้อีกด้วย
จนอาจเกิดเป็นภาวะผิดปกติในการกินหรือ Eating disorder ได้อีกด้วย (ซึ่งหาก “พัง” จริงแล้วล่ะก็ รักษาจิตใจกันยาว ๆ ไปเลยอีกต่างหาก)
นอกจากนี้ การตัดคาร์บออกจากชีวิตแบบผิด ๆ เนี่ย ยังสามารถนำพาความฉิบหายมาให้ชีวิตได้อีก แม้น้ำหนักตัวจะลดลงก็ตาม
เช่น การขาดสารอาหาร (ซึ่งเกิดแน่นอน เพราะวิตามินตั้งกี่ชนิดที่อยู่ในแหล่งคาร์บ) คอเลสเตอรอลในเลือดพุ่งขึ้นสูง (กระนั้นยังมีบางคนบอก เป็นเรื่องธรรมดา แต่กุผอมลงแล้วนะ เห็นมั้ย อย่าไปซีเรียสสิ แค่ไขมันในเลือด)
แล้วเราควรทำยังไงกับคาร์บดี ?
ที่ไฮไลต์ไว้ข้างบนครับ ในเมื่อปัญหามันมาจากตรงนั้น ก็ปรับแก้พอ (ไม่ต้องหักคอคาร์บ เกลียดมันทำไมหรอ ?) แนะนำประมาณนี้ก่อนครับ
- กลับมากินคาร์บให้มัน Balance อะไรคือข้าวที่ควรกิน แนวทางมีแนะนำหลายแหล่ง เริ่มต้นมื้อละ 2-4 ทัพพีก่อนก็ได้ (ยังไม่ต้องคิดเผื่อว่า ขนาดนั้นเลย จะอ้วนไหมก่อน) แล้วหาปริมาณที่พอดีกับตัวเอง ที่มากพอจะใช้ชีวิตและน้อยพอที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ สักสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม
- ขนมที่กินเพราะปากว่างทั้งวัน ก็ปรับแก้นิสัยดู ลดลงก่อนไหม ? จากนับไม่ถ้วน นับไม่ได้ >> Set เป็นไม่เกินวันละ 1 อย่าง/ครั้ง หรือถ้าปริมาณที่เคยกินมันมาก ก็ลดลงมาให้พอดี ๆ ก่อน
- น้ำตาล มันให้พลังงานกับร่างกายได้ ไม่ใช่ขยะ แต่ถ้าปัญหามันมาจากกินเยอะไป ก็หัดมากินหวานน้อย เลี่ยงพฤติกรรมประเภท เอะอะก็หวานไว้ก่อน มันไม่มีครับ คนที่กินหวานเจี๊ยบแล้วสุขภาพดีได้ตลอดชีวิต
ส่วนกรณีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Carb เนี่ย ก็ขอมีข้อโต้งแย้งอธิบายไว้ตรงนี้เลยแล้วกันครับ
- กินคาร์บแล้ว ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้น เป็นเบาหวานได้ >> พวกพูดแบบนี้สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าเป็นพวกรู้น้อย ศึกษาเท่าหางอึ่งแล้วมาเป็นผู้เชี่ยวชาญครับ กลไกการเกิดเบาหวานมันซับซ้อนและหลายกลไกมาก กลไกหลักที่พบคือ ไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ที่สะสมเป็นเวลานาน รวมถึงไขมันที่สะสมทั่วร่างกาย (Subcutaneous fat) หลั่งสารอักเสบ ฮอร์โมนต่าง ๆ ออกมา ทำให้ทุกเซลล์ หรืออวัยวะในร่างกายไม่ตอบสนองต่อการทำงานของฮอร์โมน Insulin – เรียกอีกอย่างว่าภาวะดื้อต่อ insulin นั่นเอง ฉะนั้นการแก้ หรือป้องกันเบาหวานทางหลักคือ “การลดไขมันในร่างกาย” ลงนั่นเอง ทีนี้จะไปใช้วิธีไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่า “การตัดคาร์บออกแบบเหี้ยน จะเป็นวิธีการรักษาหรือป้องกันเบาหวานได้เพียงหนทางเดียว” ใครใคร่จะหันมาเริ่มออกกำลังและกินให้ balance ก็ทำได้ แต่วิธีหนึ่งที่ผู้เขียนแนะนำและได้ผลเช่นกันคือ ควบคุมปริมาณไขมันในอาหารแต่ละวันที่ได้รับ ซึ่งทำให้ total kcal ที่ได้รับลดลง และร่างกายเกิด negative energy balance จึงค่อย ๆใช้ไขมันเก่าที่สะสมเอาไว้ออกไป และภาวะดื้อต่ออินซูลินก็ค่อย ๆ ลดลงได้นั่นเอง
- กินน้ำตาลแล้ว ผิวเหี่ยว แก่เร็ว >> ปัจจัยที่ทำให้สุขภาพผิวแย่ลง หลักๆ คือ สารอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากทั้งสัมผัสแสงแดดแรง ๆ โดยปราศจากครีมกันแดดที่มีคุณภาพ ดื่มน้ำน้อย กินผักผลไม้น้อย ยังไม่มีหลักฐานทางการวิจัยหรือศึกษาใด ๆ ที่รายงานว่า การกินน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะก่อให้เกิด Aging ของผิวก่อนวัยอย่างชัดแจ้ง สิ่งที่ยก ๆ มากันเป็นการพยายามเชื่อมโยงจากหลักการของ AGEs และสิ่งต่าง ๆ นานาเท่านั้น และกลับไปที่จุดเริ่มต้น ถ้าปัญหาสุขภาพมันเกิดเพราะคุณกินน้ำตาลเยอะเกินไป ทางออกคือ การลดปริมาณลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เหมาะสมที่ว่าคือ ทั้งปริมาณต่อวัน และ เหมาะสมต่อจิตใจเราไม่ให้พังพินาศไปเสียก่อน << ค้นเปเปอร์เพิ่มเติมอยู่
การออกมาพูดตรงนี้ สำหรับประเด็นแรก (เองนะเนี่ย) เกี่ยวกับ Low carb เนี่ย จุดประสงค์เพื่อ ควรศึกษาให้รอบด้านและอย่างน้อยเลย หาโอกาสปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ก่อนดีกว่าไหม ?
วันก่อนเจอมา ชอบมากกกก ข้อแตกต่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับคนจะขายของคือ
“ผู้เชี่ยวชาญจะได้ประโยชน์จากเพียงค่าปรึกษาทางวิชาชีพ แต่คนจะขายของจะมีการพ่วงเอาอีนี่ ไอนั่นมาขายให้ได้ยอดอยู่ด้วยเสมอ”
ฟังอย่างนี้ ก็น่าจะเริ่มแยกออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าที่เจอ ๆ อยู่ เห็น ๆ อยู่ อันไหนคือ ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง กันอีบ้าที่มาขายของเฉย ๆ
Fasting คือพระเจ้าาาาาา อยากสุขภาพดี เอะอะ “อดอาหาร”
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้เขียนและหลาย ๆ คน คงเห็นกระแสของ Intermittent fasting มาไม่น้อย
แต่ก็รู้ใช่ไหม….ว่าการอดอาหารเนี่ย คนเค้าทำกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ด้วยเหตุผลของบางศาสนา และใช้เป็นการรักษาโรคบางโรค
มีบางวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการ Fasting เนี่ย เป็นผลดีต่อสุขภาพในแง่ของโรคเบาหวานและโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
แต่กระนั้น ก็พูดได้ว่าเรายังไม่มีงานวิจัยที่รับรองผลในระยะยาวต่อสุขภาพจากการทำ Fasting
พวกผลต่อสุขภาพที่หลาย ๆ คนชอบเอามาเคลมเนี่ย มโนกันทั้งนั้น “เพราะมันยังไม่มีผลจากการวิจัยที่ยาวนานเพียงพอไงล่ะ”
พวกผลดีต่อสุขภาพในเชิงลดน้ำหนักได้ ก็คงไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะคนเขาเอามาทำกันดาดดื่น
หากให้พูดถึงผลเสียบ้างล่ะก็ มันก็มีเช่นกันครับ เช่น ความรู้สึกอ่อนล้า ไม่มีแรง ปวดหัว อารมณ์สวิงไปมา (แหงล่ะ หิวแล้วกินไม่ได้เองแท้ ๆ)
ยังมีผลไปถึงทำให้ปวดปัสสาวะถี่ขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และมีผลไปถึงการมีรอบเดือนที่อาจผิดปกติได้อีกด้วย
ผลเสียเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ใครพูดถึง เอ๊าาาาาาา กำลังอยากชักชวนคนมาอดอาหาร พูดถึงผลเสียแล้วใครจะกล้ามาทำด้วยล่ะ แหม่…. มันก็ต้องพูดให้ครบ รอบด้านสิครับ ของแบบนี้
ด้านบนๆ เราพูดถึง Mental issues ไปบ้างแล้ว ถ้าถามว่าทำ Fasting มีผลต่อ mental issues ด้วยไหม…. คำตอบคือ แน่สิ มีแน่นอน
การจำกัดการกินอาหารในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง (Restriction) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมการกินอาหารได้ และสามารถพัฒนาไปเป็นความผิดปกติทางการกินได้
สิ่งที่จะเจอจากการทำ Fasting ได้คือ Binge eating disorder หรือคือ พฤติกรรมการกินอาหารในปริมาณมาก ๆ แบบไร้เหตุผล ไม่สืบหาที่มาที่ไป แต่พฤติกรรมคือ กินเยอะ เร็วแบบยัด ๆ ลงไป
หรือ อาจพัฒนาไปเป็น Bulimia หรือ มีพฤติกรรมการชดเชยการกินที่มากเกินไป ไม่ว่าจะออกกำลังกายชดเชย อดอาหารชดเชยในมื้อถัดไป (เอ่… คุ้นๆ นะ) บางคนก็รุนแรงไปถึงล้วงคอออกเลยทีเดียว
ก็นั่นล่ะครับ… ส่ิงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการ ฮิตทำ Fasting เอาแบบ ไร้เหตุที่มาที่ไป ทำตามแฟชั่น หรือทำโดยไม่ประเมิน ปรับความเข้าใจให้ดีเสียก่อนเริ่มลงมือ
อย่างที่ยกวิธีการลดน้ำหนักอื่น ๆ ที่พูดไปก่อนหน้า คุณอาจหาโอกาสปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ก่อนจะลงมือปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดน้ำหนักก่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและได้ลงมือทำวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดก่อนครับ
พวก Detox หรือ เชื่อว่า “การล้างสารพิษ” สามารถทำได้ด้วย “มือเรา”
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าวว่า การดีทอกซ์หรือล้างสารพิษ ยังคงเป็นไอเดีย หรือแนวที่ยังมีคนเชื่อกันอยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตายันตอนนี้
แนวทางไดเอตหรือปฏิบัติตัวแบบนี้ เคลมว่า จะช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายได้ ลามไปถึงช่วยให้เริ่มลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการกินน้ำผักผลไม้สกัด น้ำสกัดอะไรซักอย่าง / หรือด้วยการอดอาหาร ด้วยความเชื่อว่าเป็นการงดเอาสารพิษใส่เข้าไปในร่างกาย ไปจนถึงมีการใช้สมุนไพรต่าง ๆ ที่อ้างว่า “ล้างสารพิษ” ได้
ต้องออกตัว “แรง ๆ” ตรงนี้ก่อนว่า
ร่างกายเรามีระบบล้างสารพิษอยู่ในตัวอยู่แล้ว และไม่มีกระบวนการใดที่ทำจากภายนอกแล้วไปช่วยให้มันทำงานดีขึ้นได้เลย
ระบบล้างสารพิษที่ว่านี้ เป็นการทำงานของตับ ไต และระบบย่อยอาหารของเราเอง
มิหนำซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว การ Detox แบบสุดโต่ง กลับจะทำอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย โดยเฉพาะพวกที่เชื่อไม่ลืมหูลืมตา ตั้งหน้าตั้งตาทำไปอยู่นั่นล่ะ
จะยิ่งทำให้เกิดการขาดสารอาหารได้ รวมถึงส่งผลกระทบต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ฉะนั้น ไม่ต้องไปตกหลุมเชื่อว่า “ร่างกายเราต้องการการดีทอกซ์ หรือล้างสารพิษ” ใด ๆ
ลำพังแค่ดื่มน้ำให้ครบถ้วน กินผักผลไม้และอาหารที่ให้ใยอาหารเป็นประจำ ก็เพียงพอแล้วจ้า
กลุ่มคนที่ต่อต้าน UPF หรือ Ultra-processed food – อาหารผ่านกระบวนการแบบจั๊ด ๆ
ประเด็นนี้หมิ่นเหม่มากกกกก แต่เราก็ต้องพูดตามข้อเท็จจริงด้วยครับ
ข้อเท็จจริง อาหาร UPF มีคุณค่าทางสารอาหารจำกัด แทบจะมีแต่พลังงานหลักจากคาร์บ โปรตีนและไขมัน ส่วนวิตามินและแร่ธาตุนั้น หากไม่เติม (Fortify) เข้าไป ก็จะมีวิตามิน แร่ธาตุอยู่น้อย และรสชาติอะไรต่อมิอะไรมักอร่อย ดึงดูดให้คนซื้อกินมากขึ้น
ความดีที่มี อาหาร UPF เหล่านี้ บางทีก็เติมสารอาหารที่เดิมที่มีน้อยตามธรรมชาติเข้าไปได้ เช่น ซีเรียลที่เติมธาตุเหล็กให้สูงขึ้น // อาหาร UPF มีการปรับปรุงรสชาติให้ยอมรับได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อคนที่มีข้อจำกัดในการบริโภคอาหาร // อาหาร UPF มีการปรับสารอาหารบางชนิดให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคนบางกลุ่ม เช่น ไขมันต่ำลง // อาหาร UPF สามารถเก็บได้นาน มีความปลอดภัยทางอาหารสูง (ก็คือ เก็บได้นาน เสียยากนั่นล่ะ) จึงเหมาะกับการส่งต่อหรือขนส่งเข้าสู่บางพื้นที่ที่ผลิตอาหารได้น้อย
เอ้า แล้วทีนี้มีอะไรที่อยากด่า UPF อีกล่ะ ? ลองทบทวนดูฮะ ว่ามันยุติธรรมกับอาหาร UPF เหล่านี้ไหม ที่จะไปกล่าวโทษพวกนางเสมือนเป็นอาหารชั้นล่างยังไงยังงั้น และหากเราชั่งน้ำหนักแล้ว
การโทษอาหาร UPF ดูเหมือนจะมีโทษมากกว่าประโยชน์เสียด้วยซ้ำนะฮะนี่…
พวกสรรหาแต่ Superfood เข้าตัว
คำว่า Superfood นี่ กำเนิดมาได้ไม่นานมานี้เอง ไม่กี่ปี เท่าที่ผู้เขียนจำความได้ ซึ่งก็เป็นคำยอดฮิต ที่ติดตลาด (หมายถึงทางการตลาด) ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แต่รู้ไหมว่า คำคำนี้ ไม่ได้มีความหมายเลยยยยย ในทางวิทยาศาสตร์โภชนาการ
จริงอยู่ ที่ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่าง ๆ อะโวคาโด ผักสีเข้ม ๆ หลายชนิด เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า “อุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลาย” และดีต่อสุขภาพจริง
แต่ความสำคัญของโภชนาการคือ การ Balance อาหารต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่การลุ่มหลงตกหลุมอยู่กับอาหารเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วชูค่าของมันว่าเหนือกว่าอาหารทั่วไป
ทั้งที่จริงแล้ว มันก็เป็นเพียงอาหารชนิดหนึ่ง จากบรรดาร้อยพันหมื่นของอาหารที่มีอยู่บนโลก
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่นานมานี้เรายังพบการพยายามพัฒนาอาหารให้มีคุณค่าสูงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผงวิเศษที่สกัดจากผักผลไม้สีเข้ม ๆ แล้วขายให้เราเอาผงเหล่านี้ไปชงละลายน้ำดื่มแทน
แล้วชูจุดขายว่า ดีสำหรับคนที่ไม่มีเวลาบ้างล่ะ แฮคร่างกายให้สุขภาพดีบ้างล่ะ
ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น พฤติกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์พวกนั้นน่ะ ห่างไกลจากคำว่าสุขภาพดีไปเยอะเลย ย่ิงโดยเฉพาะคนที่ไม่ปรับวิถีการกินให้สมดุล แล้วแค่ชง ๆ ดื่มพวกนี้เนี่ย
“มันจะเอาอะไรมาทำให้สุขภาพดีได้”
เราไม่ปฏิเสธว่า ผลิตภัณฑ์ผง ๆ ชงเหล่านั้นสามารถมีสารอาหารต่าง ๆ ที่แนะนำให้กินในแต่ละวันได้ แต่อย่าลืมว่า “ยังไงพวกนี้ก็มาแทนที่อาหารทั่วไปไม่ได้” อยู่ดี
เนื้ออาหาร สัมผัสจากการเคี้ยว ความอิ่มท้องที่อาหารจริง ๆ มอบให้เราจากการกิน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการกินผลิตภัณฑ์ที่ราคาสูงเหล่านั้นเลยแต่อย่างใด
อย่าให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่ได้เป็นอาหารโดยแท้จริงดีกว่าครับ
แล้ว…จะทำตัวยังไงให้รอดพ้นจาก “ศาสตร์ลวงโลกเหล่านี้”
ตั้งธงไว้เลยครับ…. ว่า Red flag ของแนวคิดเหล่านี้ มักมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ และจะได้ระวังตัวมากขึ้น ไม่หลงเชื่อแนวคิดสุดโต่งที่แปลก ๆ ทั้งหลาย (ซึ่งไม่ได้นำพาสุขภาพที่ดีมาให้)
- ตีกรอบให้อาหารเลยว่า “ขาว หรือ ดำ” หรือตัดสินอาหารเลยว่า “ดี หรือ เลว”
- ข้อความที่บ่งบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ในการใช้ชีวิต เช่น ลดน้ำหนักได้วันละขีด หรือ ลดไขมันได้เป็นกิโล ๆ ในช่วงไม่กี่วัน
- แนวทางปฏิบัติที่ “สุดโต่ง” เช่น จำกัดอาหารหลาย ๆ อย่าง / อดอาหารเป็นระยะเวลานาน ๆ / กินอาหารดิบ ๆ ไม่ผ่านความร้อน / หรือกระทั่ง “กินแต่เนื้อสัตว์”
- เน้นไปที่สิ่งกินทดแทนอาหาร หรือ อาหารเสริมจนเกินไป (โดยเฉพาะถ้าอีคนพูดมันขายด้วยน่ะนะ)
- โฟกัสที่ “รูปร่างภายนอก” “physical appearance” มากกว่าสุขภาพ เช่น summer beach body / ผิวใสสวยจากการดีทอกซ์ อะไรเทือกนั้น
- คำตระกูลพวก ล้างสารพิษ ดีทอกซ์ Detox บลา ๆ
- เชิดชูการใช้อาหาร “ทดแทนการรักษาทางการแพทย์”
- ตรวจพวก food sensitivity (บอกให้ว่าพวกนี้ ยังขาดหลักฐานรับรองความจริงและความแน่ชัดอีกมาก)
แหล่งอ้างอิง
- Shalabi, H., Hassan, A. S., 4th, Al-Zahrani, F. A., Alarbeidi, A. H., Mesawa, M., Rizk, H., & Aljubayri, A. A. (2023). Intermittent Fasting: Benefits, Side Effects, Quality of Life, and Knowledge of the Saudi Population. Cureus, 15(2), e34722. https://doi.org/10.7759/cureus.34722
- Sichieri R, Everhart JE, Roth H. A prospective study of hospitalization with gallstone disease among women: role of dietary factors, fasting period, and dieting. Am J Public Health. 1991 Jul;81(7):880-4. doi: 10.2105/ajph.81.7.880. PMID: 1647144; PMCID: PMC1405175.
- Stice E, Davis K, Miller NP, Marti CN. Fasting increases risk for onset of binge eating and bulimic pathology: a 5-year prospective study. J Abnorm Psychol. 2008 Nov;117(4):941-6. doi: 10.1037/a0013644. PMID: 19025239; PMCID: PMC2850570.